Sunday 8 December 2013

สิ่งที่เราคิดบางทีก็ไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้เป็นจริงได้เสมอไป



เมื่อช่วงสัปดาห์วันพ่อที่ผ่านมา หนูมีโอกาสได้ตกแต่งห้องเรียนของตัวเอง

โดยวางแผนกับเพื่อนในทีมว่า

เราจะทำเส้น Timeline ติดผนังเพื่อใช้ในการเรียนกับทุกวิชา
เราวาดภาพฝันไว้เป็นอย่างดิบดีว่าเราจะใช้สีแม่เหล็กทาเป็นเส้น timeline

แต่...

เราไม่นึกถึงวิธีการทำเลยค่ะ ว่าขั้นตอนในการทำนั้นเราจะทำมันอย่างไร
จะใช้มันอย่างไร

ที่เราไม่นึกเพราะว่า...

ไม่นึกว่าตัวเองจะต้องมานั่งทำเองค่ะคิดว่าคงมีคนทำให้
มื่อต้องลงมือทำเอง

ก็เจอปัญหาเลยค่ะ

ปัญหาแรกตีเส้น timeline ไม่ตรงเบี้ยวเลยค่ะ เพราะเราไม่มีจุดอ้างอิง
เราลืมนึกถึงคุณสมบัติเส้นตรงคือต้องเป็นระนาบดังนั้นการที่จะเป็นระนาบได้ต้องมีมุม 90องศาตั้งฉาก

เพราะฉะนั้นเราจะต้องหาจุดอ้างให้ได้ก่อนจากนั้นก็ จุดตำแหน่งก่อนจะลากเส้น
แต่แล้วก็ปรากฏว่าตีเส้นแล้วก็ยังเบี้ยวอยู่ดี จนเราเริ่มมึนเพราะเส้นทับกัน
ทำให้เรางงว่าตกลงมันเส้นไหนเนี่ย

จนสุดท้ายวิธีแก้ปัญหาของเราก็คือใช้เทปกาวแปะเพราะจะไม่ทำให้เราสับสนอีกต่อไป
และดูง่ายว่าจุดไหนเบี้ยว
รวมๆแล้วใช้เวลาไปมากกว่า 2 ชั่วโมงนานมากกก

ปัญหาต่อมาที่เราเจอ
คือตอนจุดสีแม่เหล็กว่าจะจุดตรงไหนบ้าง จุดใหญ่ขนาดไหน จะติดกระดาษอย่างไร
แล้วปัญหาที่แทรกมาอีกคือ เวลาเราเหลือเวลาน้อยมากในการทำ
เพราะเราไม่คิดกันมาก่อนหน้านี้ คิดว่าจะมาคิดกันตอนหน้างาน
สุดท้ายงานก็เสร็จไม่ทันเวลาค่ะ

นี่แหละค่ะเป็นเพราะว่าไม่ได้คิดว่าจะลงมือทำด้วยตัวเอง
และคิดว่ามันง่าย
ไม่นึกถึงความเป็นจริงในการลงมือทำแค่คิดวาดฝันไว้

ดังนั้นสิ่งที่อยากฝากไว้วันนี้คือ
สิ่งที่เราคิดบางทีก็ไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้เป็นจริงได้เสมอไป  
และอย่าคิดว่าสิ่งที่ตัวเองคิดมันจะทำง่ายเสมอไป เพราะฉะนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่าง่ายหรือไม่ง่ายก็ต้องลงมือทำ

แล้วเจอกันใหม่สัปดาห์หน้าค่ะ

Monday 2 December 2013

ไม่ใช่ทุกคนที่จะเหมาะกับ HOME SCHOOL !!! ตอนจบ



สวัสดีค่ะกลับมาพบกันอีกแล้วนะค่ะ

ต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่แล้ว

ในหัวข้อ ไม่ใช่ทุกคนที่จะเหมาะกับ HOME SCHOOL!!!


พวเราเรียนรู้ด้วยการตั้งคำถาม การลงมือทำด้วยตัวเอง และประสบการณ์จริง


เพราะฉะนั้นพวกเราทุกคนใน กลุ่ม HOME SCHOOL จะคิดกันอยู่เสมอๆว่า

การเรียนรู้อยู่รอบตัวเรา ความผิดพลาดจะทำให้เราได้เรียนรู้เสมอ แต่อย่าผิดซ้ำ

เพราะนั่นหมายถึงว่าเราไม่ได้เรียนรู้สิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว






ครอบครัวของพวกเราแต่ละคน

ต้องยอมรับจุดอ่อนของตัวเองให้ได้และช่วยกันแก้ไขให้มันกลายเป็นจุดแข็งให้ได้

พวกเราถูกฝึกทั้งให้อยู่คนเดียวได้ด้วยตัวเองและถูกฝึกการเค้าสังคม

เพราะในอนาคตข้างเราจะต้องพึ่งตนเองให้ได้ ถ้าเราไม่รู้จักทำเองตั้งแต่ตอนนี้

แล้วเมื่อไหร่เราจะทำได้

มนุษย์เป็นสัตว์สังคมดังนั้นเราต้องเรียนรู้วิธีที่จะปรับตัวให้เข้ากันสถานที่และคนที่แปลกใหม่

พวกเราถูกฝึกให้สังเกตและละเอียดตลอดเวลา (จนถึงทุกวันนี้ก็ยังโดนอยู่) เพราะมันจะเป็นสิ่งสำคัญ

ที่สุดอย่างหนึ่งในการใช้ชีวิตในอนาคตข้างหน้าเพราะเราจะได้เปรียบกว่าทุกคน

ยอมรับและแก้ไข

แต่!!!

บางคนการเรียนแบบนี้อาจจะทำให้เขาไม่เข้าใจ รู้สึกอึดอัดหรือกดดัน 

แต่ไม่เป็นไรค่ะ คนเราแตกต่างต่างกัน วิธีการเรียนรู้ของเรา แตกต่างกันขอเพียงแต่

ให้เราเข้าใจมันจริงๆและสามารถนำความรู้ต่างๆที่เราได้มาใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง

และเกิดประโยชน์กับตัวเราเอง และอีกอย่างหนึ่งที่อยากจะฝากไว้คือ

อย่ากลัวที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ

อย่ากลัวที่จะบอกความต้องการของเราให้ทุกคนรู้

และเมื่อเราบอกความต้องการของเราไปแล้วก็ลุยกับมันให้เต็มที่ให้สุดๆไปเลยค่ะ

ชีวิตนี้เป็นของเราเราต้องเป็นเลือกเอง

ตัวเราเองเท่านั้นที่จะอยู่กับเราเองไปตลอดจนถึงวันที่หมดลมหายใจ

แล้วเจอกันสัปดาห์หน้าค่ะ










Monday 25 November 2013

ไม่ใช่ทุกคนที่จะเหมาะกับ HOME SCHOOl !!! ตอนที่ 1

สวัสดีค่ะ

สัปดาห์นี้หนูจะมาเล่าเกี่ยวกับ การเรียน Home school ในแบบที่หนูเรียนค่ะ

หลายคนคงจะคิดว่า การเรียน Home school คงจะสบายเพราะอยู่แต่ที่บ้าน คงไม่ได้ออกไปไหน

ในตอนแรกหนูก็เป็นหนึ่งคนในนั้นที่คิดแบบนี้แหละค่ะ

แต่พอได้มาเรียนจริงๆผิดคาดเลยค่ะ 



ระบบ Home school ของหนู

 จะมีคุณครูแม่ต้น คือคุณครู ที่คอยว่างระบบฝึกฝนกระบวนการคิดของพวก หนูคอยดูแล และหา

คุณครูที่จะมาช่วยสอนให้แต่ละวิชา รวมทั้งเป็นผู้มอบหมายงาน Project ต่างๆให้พวกเราได้ค่อยช่วยกัน

ทำและแก้ปัญหา

การเรียนHome school ของพวกเราเน้น ความเข้าใจเป็นหลัก เข้าใจแบบเป็น concept วิชาพื้นฐานเราต้อง

รู้และเข้าใจมันจริงๆเพื่อนำไปใช้ต่อได้ใน ชีวิตจริง เราเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง การลงมือทำ

และการตั้งคำถาม

เช่น ในระหว่างพวกเราช่วยกันทำกับข้าวแล้วปรากฏว่าเราทำหม้อไหม เราจะได้เรียนรู้ว่า อะไรที่ทำให้

หม้อไหม แล้วมันไหม้เพราะอะไร  มันจะมีสารอะไรจาก วัตถุดิบที่เราใช้เลยทำให้หม้อไหม้ 

ครั้งหน้าเราจะแก้ยังไง อื่นๆอีกเยอะ




คนที่จะสามารถเรียน Home school ได้

ครอบครัวและนักเรียนเองต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนเพื่อจะได้ทำเป้าหมายนั้นให้สำเร็จ

 เช่น จะไปเป็นนักวาดการ์ตูนที่ญี่ปุ่นให้ได้ เพราะฉะนั้น

สิ่งที่จะต้องเรียนคือ วาดการ์ตูน เรียน drawing เรียนภาษาญี่ปุ่นอย่างเข้มข้นเพื่อ ต้องไปเรียนที่ญี่ปุ่น

เพื่อศึกษาการวาดการ์ตูนญี่ปุ่น และต้องฝึกทำ Project ของตัวเองคือการแต่งการ์ตูน (ยกตัวอย่างมาจาก

พี่ที่เรียนด้วยกัน) 

ผู้เรียนต้องมีความรับผิดชอบและจัดการกับชีวิตตัวเองได้

เพราะการเรียน Home school พวกเราจะไม่มีตารางสอนเหมือนใน ที่รร.มากำหนดว่าจะต้องทำอะไรกี่โมง

แต่เราจะต้องเป็นคนจัดสรรค์เวลาตารางชีวิตของเราเอง โดยในแต่ละวันแต่ละสัปดาห์พวกเราแต่ละคน

ต้องมีเป้าหมายของตัวเองซึ่งจะแตกต่างกันออกไป ดังนั้นถ้าไม่มีความรับผิดชอบและยังจัดการกับชีวิต

ตัวเองไม่ได้แนะนำว่าอย่าคิดจะมาทำ Home school จะดีกว่าเพราะมิฉะนั้นจะเสียเวลาเปล่า

ผู้เรียนต้องรู้จักตัวเอง

ต้องรู้ว่าตนเองต้องการอะไร จุดแข็งจุดอ่อนของเราคืออะไร จากนั้น

ผู้เรียนต้องรู้จักพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา เพื่อแก้ไขจุดอ่อนของตัวเอง.......





ยังไม่จบนะค่ะถ้าอยากรู้ว่า HOME SCHOOLในแบบของพวกเราเป็นอย่างไรรอติดตามต่อสัปดาห์หน้าค่ะ

Sunday 17 November 2013

พิสูจน์ตัวเอง

สวัสดีค่ะกลับมาพบกันอีกแล้วนะค่ะ

"เก่งมาจากไหนก็แพ้หัวใจอย่างเธอ" คงใช้ไม่ได้กับหนูเพราะหนูต้อง เก่งมาจากไหนก็แพ้หัวใจตัวเอง

ไม่ดีเลยเนอะแพ้ใจตัวเองตลอดแต่ ตอนนี้หนูจะเลิกแล้วค่ะ

เชื่อเลยว่าหลายๆคนก็คงเป็นแบบนี้


เคยเป็นกันบ่อยละสิ

มาครั้งนี้อยากจะมาเล่าประสบการณ์ข้อคิดของการแพ้ใจตัวเองให้ฟังคะ

ที่ผ่านมาหนูคิดอยากจะทำนู้นี่มากมายเช่นอยาก ออกกำลังกายเพื่อตัวเองจะได้ผอม

อยากจะเรียนร้องเพลง อยากทำงานฝีมือ อยากตื่นเช้าจะได้มีเวลาทำงานอื่นๆเพิ่ม และอื่นๆอีกเยอะ

แต่รู้ไหมค่ะที่บอกว่าอยากทำมาทั้งหมดไม่ประสบความสำเร็จเลย...

 เพราะพอเอาเข้าจริงก็ทำไม่ได้เพราะใจไม่สู้พอหรือเรียกง่ายๆว่าแพ้ใจตัวเอง 

ยกตัวอย่างเช่นอยากออกกำลังกายจะได้ผอมปรากฏว่าพอ

ออกกำลังกายไปไม่กี่วันก็ท้อแล้วผลก็คือเลิกไม่ยอมสู้ต่อ  อยากตื่นแต่เช้าแต่ก็ทำไม่ได้เพราะพอเอา

เข้าจริงก็นอนต่อแล้วก็ตื่นสายเป็นเพราะความมุ่งมั่นของตัวเองไม่มากพอ

ต้องทำให้ได้!!!


สิ่งแบบนี้เกิดขึ้นมาตลอดหลายปีจนทำให้หนูติดเป็นนิสัย แต่แล้ววันนึงสิ่งเหล่านี้ทำให้หนูต้องมาเจอกับ

งานที่อยากที่สุดงานนึง คือ การพิสูจน์ตัวเองชนะใจตัวเองให้ได้ โดยคนที่ให้โจทย์นี้กับหนูคือ

ครอบครัวและคุณครูของหนู เพราะพวกท่านเล่งเห็นว่าถ้าปล่อยหนูให้เป็นแบบนี้ต่อไปแย่แน่ๆ

ทำอะไรก็คงไม่สำเร็จสักอย่าง





พวกเราครอบครัว Home school เลยร่วมกันช่วยแก้จุดอ่อนจุดนี้ให้หนู

โดยช่วงเวลา 2 เดือนนี้หนูเลือกที่จะเรียนดนตรีร้องเพลงเป็นหลักเพื่อค้นหาตัวเองว่าร้องเพลง

คือสิ่งที่ใช่สำหรับตัวหนูรึป่าวถ้าใช่ก็เดินหน้าต่อเต็มที่แต่ถ้าไม่ก็เลือกทางใหม่

เป้าหมายใหญ่ของหนูที่คุณครูให้โจทย์คือถ้าหนูเลือกร้องเพลงหนูจะต้องร้องเพลง Jazz ให้ได้ต้องโชว์

ได้ซึ่ง มันยากมากกกกก 

จะทำได้มั๊ยน้าาา 

การร้องเพลงบางคนคงคิดว่าดูเหมือนง่ายแต่จริงๆแล้วไม่เลยอยากมากและต้องมีวินัยมากๆด้วย

(ซึ่งตัวเองไม่ค่อยจะมีสักเท่าไหร่แต่จะมีแล้ว) เมื่อหนูเลือกที่่จะร้องเพลง หนูจะต้องซ้อมร้องและออก

กำลังกายสม่ำเสมอทุกวันเพื่อให้ปอดขยายและเสียงมีพลังมากขึ้น



ซ้อมๆๆๆๆๆ

หนูจึงต้องทำตารางชีวิตของตัวเองใหม่หมด ต้องตื่นแต่เช้าลุกขึ้นมาวิ่ง ต้องว่ายน้ำเกือบจะวันเว้นวัน

และแต่ละครั้งภายใน 1 ชม. ต้้องว่ายให้ได้ 1000 เมตร ต้องซ้อมดนตรีทุกวัน แต่ยังคงต้องจัดสรรค์เวลา

สำหรับเรียนวิชาพื้นฐานทั่วไป ต้องทำควบคู่ไปด้วยกัน

บทพิสูจน์นี้หนูเริ่มทำมาได้ ประมาณ 2 สัปดาห์แล้ว

ยอมรับเลยว่าเหนื่อยและท้อมากๆเหมือนกัน แต่ก็ให้กำลังใจตัวเองว่าจะต้องก้าวผ่านจุดนี้ไปให้ได้

สู้ๆๆๆๆๆ


ยังไงก็ขอให้เพื่อนๆพี่ๆน้องเป็นกำลังใจให้หนูสามารถพิสูจน์ตัวเองได้ด้วยนะค่ะ

ขอบคุณภาพประกอบจาก Google นะค่ะ ^^



Sunday 10 November 2013

คิดจะฝันต้องทำฝันให้เป็นจริง



สวัสดีค่ะกลับมาพบกันอีกแล้วนะค่ะ

วันนี้จะมาฝากข้อคิดเล็กน้อยๆให้เพื่อนๆพี่ๆฟังกันนะค่ะ

"คิดจะฝันต้องทำฝันให้เป็นจริง"

ที่ผ่านมาหลายปี จขบ. มีความฝันอยากที่จะเป็นหลายอย่าง ไม่ว่าจะนักร้อง นักจิตวิทยา

อยากทำงานฝีมือของน่ารักๆ แต่ก็ไม่เคยลงมือทำฝันนั้นให้เป็นจริงเลย ได้แต่ฝันไปวันๆ




จนมาถึงวันนี้ความคิดของ จขบ.เปลี่ยนไปถ้าเราฝันอย่างเดียวแล้ว

ถ้าไม่ลงมือทำแล้วเมื่อไหร่ฝันนั้นจะเป็นจริงอย่ารอโอกาสอย่างเดียว


ตัวเราเองต้องวิ่งเข้าหาโอกาสด้วย นอกจากฝันจะไม่เป็นจริงแล้วยังเสียเวลาชีวิตอีกด้วย

แต่

ถ้าเราลงมือทำมันจะทำให้เราได้

ค้นพบตัวเองว่าสิ่งที่เราฝันเราอยากทำใช่ตัวเรารึป่าว แล้วมันจะทำให้เราหาตัวเองเจอได้เร็ว









เครดิตภาพ Google
ปล.ตอนนี้ จขบ.กำลังทำฝันให้เป็นจริงคือ การเรียนร้องเพลงแล้วจะมาเล่าให้ฟังนะว่าฝันนี้จะใช่ตัวตนของ จขบ.จริงๆป่าว

Monday 28 October 2013

YMCA CAMP !!!!

YMCA CAMP  14-19 ตุลาคม 2556 บ้านฉาง ระยอง  6วัน5คืนแห่งความทรงจำ

....ความทรงจำที่เต็มไปด้วยความสนุกและการเรียนรู้....

สิ่งแรกที่่ได้เรียนรู้จากค่ายนี้เลยคือ มิตรภาพและการปรับตัวกับเพื่อนใหม่ 

หนูเพิ่งเคยมาค่ายนี้เป็นครั้งแรกและเป็นครั้งที่สองของการมาค่ายที่เพื่อนมาจากต่างโรงเรียน การมาค่ายนี้ทำให้หนูเปิดโลกกว้างมากขึ้นเห็นความหลากหลายและความแตกต่างของคนหลายๆวัย

โดยเฉพาะคนวัยเดียวกันช่วง1-2วันแรกเป็นช่วงวันของการปรัปตัวของหนูวิธีการปรับตัวของหนูคือเริ่มถามและชวนเพื่อนคุยเกี่ยวกับโรงเรียนของเขา แล้วหลังจากนั้นพวกเราก็เริ่มสนิทกันมากขึ้นทำให้เกิดเป็นมิตรภาพที่ดีต่อกัน 







บทเรียนที่สอง การยอมรับความแตกต่าง 

ในบ้านพักของหนูมีกันอยู่15คนรวมพี่บ้านแล้ว ต่างคนต่างมีนิสัยที่แตกต่างกันออกไปบางคนทำอะไรก็ฮาตลอดๆ บางคนเพลงขึ้นปุ๊ปเต้นทันที บางคนก็เป็นคนพูดตรงมาก บางคนเป็นขาเม้า บางคนเป็นเจ้าหนูจำไมถามตลอดๆ และบางคนก็ขี้เซา

เมื่อหนูเห็นความแตกต่างของแต่ละคนแล้วหนูจะต้องเรียนรู้ที่ยอมรับความต่างของพวกเขาแม้ว่าบางคนหนูอาจจะไม่ค่อยชอบนิสัยของเขาเพราะ

การที่เรายอมรับความต่างของเขาได้มันจะทำให้หนูใช้ชีวิตร่วมกันกับพวกเขาได้อย่างมีความสุขและสนุกไปพร้อมๆกับพวกเขา





การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและการเป็นผู้นำ 

ได้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าตอนกิจกรรมกีฬาสี ตอนนั้นเป็นช่วงของการประกวดกองเชียร์ โจทย์คือ ต้องร้องเพลงบูม ตบมือโคดและร้องเต้นเพลงเชียร์

 พอถึงช่วงตบมือโคดน้องทำไม่พร้อมกันเลยหนูเห็นว่าถ้าปล่อยไปหมู่เราคงแย่แน่ๆเลยตะโกนออกไปว่า นี่แค่ซ้อมขออีกรอบนึง เพื่อเป็นการขอโอกาศจากกรรมการ ณ ตอนนั้นความรู้สึกตัวเองเหมือนHeroมาก555

พี่ประจำหมู่หันมามองแล้วยิ้มให้ประมาณว่าขอบคุณมากน้อง และจากนั้นทุกๆอย่างก็ดีขึ้น หนูเป็นนำเชียร์เสียงดังและต้องมั่นใจเพื่อทุกๆคนจะได้ตั้งใจร้องเพลงเชียร์และร้องไปพร้อมๆกัน ผลที่ได้ก็คือได้ที่2ถึงจะได้ที่2แต่ก็รู้สึกภูมิใจมาก







การกล้าแสดงออก ความมั่นใจและการให้ความร่วมมือกับกิจรรม

ตอนเย็นของวันพุธมีกิจกรรมคอนเสริตสนุกมากมันมากและเป็นสิ่งที่หนูประทับใจมาก แต่ละบ้านจะต้องมีโชว์การแสดงหนูเป็นคนคิดโครงเรื่องและเล่นเองเต้นเองสนุกมากๆไม่เขินอายเหมือนเมื่อก่อนเลยเพราะเราให้ความร่วมมือกับพี่ๆเขาอย่างเต็มทีทำให้สนุกและมีความสุขกับสิ่งที่ทำอยู่และมันยังทำให้หนูมีความมั่นใจมากขึ้นด้วย









การชนะใจตัวเองชนะความกลัว ตอนเล่นฐานโรยตัวตอนแรกกลัวมากเพราะมันสูงแต่พอได้เล่นจริงและทำตามที่พี่ๆสอนหนูกลับทำได้ดีและหายกลัวกลับสนุกแทนและอยากเล่นอีก









หนูประทับใจและสนุกกับการมาค่ายYMCA มากๆ จะไม่มีวันลืมค่ายนี้เลยแล้วเจอกันใหม่ปีหน้า
 YMCA CAMP !!!!!


Thursday 10 October 2013

เรียนรู้ช่วงปิดเทอม

สวัสดีค่ะช่วงนี้ทุกคนก็ต่างอยู่ในช่วงปิดเทอมกันใช่มั๊ยค่ะ....นั้นเรามาหาอะไรทำกันดีกว่าค่ะ

วันนี้ขอเสนอ "งานปักครอสติช"ค่ะ
ทุกคนเชื่อมั๊ยค่ะว่างานปักครอสติชเนี่ยไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเลย

งานปักครอสติชต้องอาศัยความละเอียดและสมาธิในการปักมากเลยนะค่ะแถมยังได้ฝึกการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและความคิดสร้างสรรค์ด้วย

ถ้าไม่ละเอียดหรือวอกแวกเวลาปักเนี่ยผิดนิดเดียวก็เสียเลยนะค่ะหลังจากเริ่มปักครอสติชเวลาทำงานอื่นหนูมีสมาธิจดจ่อกับงานที่ทำอยู่มากขึ้นด้วยนะค่ะ
แต่ถ้าเราสามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ก็ดีไปค่ะ

มัวแต่สนใจอย่างอื่นปักไปปักมาด้ายพันกันเลย





ปักผิดค่ะถึงจะไม่เหมือนตามแบบเปะก็ยังคล้ายกันอยู่


ยกตัวอย่าง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับหนูจริงเลยก็คือ หนูปักผิดค่ะอาจจะนับช่องใดช่องหนึ่งผิดไปและเพิ่งมารู้ตัวอีกทีตอนผ่านไปเกินครึ่งแล้ว...ตอนนั้นจึงคิดว่าจะทำยังไงดีนะเพราะถ้าต้องเลาะใหม่หมดก็เหนื่อยแย่กว่าจะปักมาได้ขนาดนี้ หนูจึงใช้วิธีหยุดทำสีพื้นหลักที่กำลังทำอยู่ก่อนแล้วไปทำส่วนที่สำคัญก่อนคือดวงตาและดอกไม้เพราะลายละเอียดส่วนเล็กๆนี้เห็นชัดกว่าแล้วจึงค่อยกลับไปปักสีเดิม





เมื่อทำไปเรื่อยๆหนูเริ่มคล่องเวลาปักมากขึ้นและเริ่มมีเทคนิคการปักของตัวเองว่าจะทำอย่างไรให้ตัวเองไม่งงและปักเสร็จเร็วขึ้นโดยเทคนิคของหนูคือปักเป็นกรอบไว้ก่อนค่ะแล้วค่อยมาปักต่อให้เต็มกรอบวิธีนี้สำหรับหนูทำให้หนูปักง่ายมากขึ้นค่ะไม่ต้องนั่งนัดว่าต้องปักกี่ช่องแล้วถึงไหนแล้ว




เสร็จแล้วหนึ่งตัวน่ารักมั๊ยค่ะ
ปล.ภูมิใจมากเพราะทำสำเร็จเป็นตัวแรกก่อนหน้านั้นเคยทำแต่ก็ทำไม่เสร็จแล้วหาย


Monday 7 October 2013

OMG!!! ข้อสอบข้อสุดท้าย

สวัสดีค่ะวันนี้หนูจะมาเล่าประสบการณ์ "ข้อสอบข้อสุดท้าย"จากคุณครูของหนูให้ฟังนะค่ะ

โจทย์มีอยู่ว่า...ให้พวกเรา(เด็ก Home school 3-4คน)ช่วยกันทำอาหารเย็นให้คุณพ่อคุณแม่ของพวกเราโดยคุณพ่อคุณแม่จะเดินทางมาถึงบ้านเวลา 6.00 น.

วันที่พวกเราได้รับโจทย์คือวันพุธและคุณพ่อคุณแม่จะเดินทางมากันในวันศุกร์ แต่เอาเข้าจริงก็เริ่มว่างแผนวันพฤหัสค่ะ ^^  ในตอนแรกพวกเราต่างก็คิดเมนูของตนเองจนลืมสิ่งสำคัญไป จนครูของเราเตื่อนขึ้นมาลืมอะไรไปรึป่าว จนหนูนึกขึ้นได้ว่า "เราลืมวางเป้าหมายของการทำอาหารในครั้งนี้ พวกเราจึงวางเป้าหมายร่วมกันคือ การทำอาหารเย็นเลี้ยง ผปค.ในครั้งนี้เราอยากให้พวกเขาให้ว่าในขณะนี้เราสามารถเอาชีวิตรอดด้วยตนเองได้และอยากให้เขารู้ว่าตอนนี้เราสามารถทำอาหารเองได้แล้ว

เมื่อมีเป้าหมายแล้วพวกเราจึงเริ่มวางแผนว่า เราจะเสริฟอาหารอย่างไร จะทำเมนูอะไร  วัตถุดิบที่จะต้องใช้ จะต้องซื้ออะไรเพิ่มบ้าง เช่น จาน ชาม แก้วน้ำ ช้อน ส้อม

รายการอาหาร
 -คาโบนาร่า
-ซุปหัวปลา
-ไก่อบ
เสริฟแบบ คนละเซ็ต เพื่อที่ทุกคนจะได้ทานกันครบทุกเมนู
ของหวาน
เต๋าฮวยนมสด

สิ่งที่จะต้องซื้อเพิ่ม
-วัตถุดิบของแต่ละเมนู
-แก้วน้ำ

เมื่อถึงวันศุกร์หลังสอบเสร็จวิชาสุดท้าย

พวกเราและคุณครูก็รีบมากันที่ Makro เพื่อซื้อวัตถุดิบ และแก้วน้ำ ภายในเวลาไม่เกิน 1 ชม. เวลาตอนนั้นบ่ายสามต้องเสร็จภายในไม่เกินสี่โมงเย็น ปรากฏว่า...ได้วัตถุไม่ครบขาดเส้นและชีสที่จะใช้สำหรับทำ คาโบนาร่า พวกเราจึงแก้ปัญหาโดยหนูและพี่อีกคนจะแวะลงเซ็นทรัลเพื่อซื้อเส้นกับชีสและจะตามคนอื่นๆกลับไป เพราะหากเราไปด้วยกันหมดเราจะเสียเวลา 

เมื่อวัตถุดิบพร้อมคนพร้อมเราจึงเริ่มลงมือทำ...
เหตุการณ์ดูจะไปด้วยดี แต่แล้วเราเจอปัญหาใหญ่คือ เราจะจัดการกับหม้อและเตาที่มีจำนวนจำกัดอย่างไร เมื่อปรึกษากันแล้วเราจึงได้ข้อตกลงร่วมกัน คือ เราจะใช้หม้อใหญ่ในการต้มปลาก่อนเพราะใช้เวลานานสุด ใช้กระทะทอดเบคอนให้กรอบก่อนจึงค่อยเอาไปทอดไก่ ใช้หม้อเล็กทำเต๋าฮวยก่อนที่จะนำไปอบไก่ที่ต้องทำเต๋าฮวยก่อนเพราะใช้เวลาทำไม่นานแต่ใช้เวลาในการรอให้แข็งตัวนาน และเมื่อใช้หม้อใหญ่ต้มปลาเสร็จก็จะใช้ต้มเส้นที่ต้มเส้นสุดท้ายเพราะเส้นที่เราใช้สุกเร็วมาก

เมื่อตกลงกันได้พวกเราจะต้องร่วมกันทำงานเป็นทีมเพราะเวลาของเรามีจำกัด และต่างคนต่างต้องแบ่งหน้าที่ช่วยหรือกัน เช่น ในขณะที่ต้มปลาอยู่ พี่ป่าน(นร.home school)ต้องทำเต๋าฮวย หงษ์(นร.home school)หมักไก่ ฟ้า(เจ้าของบล็อก)หัดผักและเบคอนพวกเราทุกคนต้องเตรียมวัตถุดิบของตนเองให้พร้อมเพราะเมื่อเตาว่างเมื่อไหร่จะได้ทำต่อได้เลยไม่เสียเวลา

เมื่อผู้ปกครองมาถึง... อาหารของเราใกล้พร้อมที่จะเสริฟแล้วพวกเราจึงแบ่งหน้าที่กลุ่มนึงอยู่ในครัวทำกับข้าวต่อและอีกกลุ่มไปจัดโต๊ะและเสริฟอาหาร

และแล้วเวลาที่เรารอคอยก็มาถึง...พ่อแม่ของพวกเราดูตื่นเต้นมากเมื่อเห็นโต๊ะอาหารที่เราจัดอลังการสวยงามมากๆ อิอิ ^^ และเมื่อพูดถึงรสชาติของอาหารพวกเขาต่างก็ชื่นชมพวกเราและคำพูดที่พวกเขาต่างพูดเหมือนกันหมดคือ ไม่น่าเชื่อว่าลูกเราจะทำได้เก่งจริงๆ


อลังมั๊ยค่ะ อิอิ




คาโบนาร่า




ซุปหัวปลาแซลมอน

ข้อสอบข้อสุดท้ายที่ไม่มีในห้องเรียน
ข้อสอบข้อนี่ถือว่ายากเลยที่เดียวเพราะพวกเราทุกคนจะต้องร่วมมือกันทำงานเป็นทีม ต้องใช้ทักษะการวางแผน การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การจัดการกับอุปกรณ์ที่มีอยู่จำนวนจำกัด การจัดการเวลา และการประมาณค่า

ถึงข้อสอบข้อนี้จะต้องใช้เวลาทำนานมากและเหนื่อยมากแต่ก็คุ้มมากที่ได้ทำเช่นกันเพราะทำให้พ่อแม่ของพวกเราทุกคนต่างภูมิใจในตัวลูกของพวกเขา 

ปล.ขอขอบคุณแม่ต้น(เป็นทั้งครูและแม่ของพวกเราอยู่เบื้องหลังการเรียนรู้ของเราทุกอย่าง)ที่ให้โจทย์ข้อสุดท้าย ช่วยพวกหนูทำกับข้าวและชวนพ่อแม่พวกเราคุยช่วงอาหารยังไม่เสร็จ ขอบคุณซาร่า(ลูกสาวแม่ต้นและเพื่อนที่น่ารักของเรา)ที่มาช่วยทำอาหารและขอบคุณทีมของหนู พี่ป่าน หงษ์ พี่หนุน ที่ช่วยกันทำข้อสอบข้อนี้จนสำเร็จ


Thursday 3 October 2013

มุมมองความคิด

สวัสดีค่ะกลับมาพบกันอีกแล้วนะค่ะหลังจากหายไป1-2สัปดาห์(ไปสอบมาค่ะ)

1-2สัปดาห์มานี้หนูได้มุมมองความคิดใหม่ๆมาค่ะ

 เมื่อสัปดาห์ก่อนคุณครูของหนูได้ส่งข้อความนี้มาให้อ่านค่ะและได้ถามหนูว่าหนูคิดอย่างไร
เรื่องที่จะเล่าต่อจากนี้ บางคนอาจจะเคยอ่านเรื่องนี้กันมาบ้างแล้วนะค่ะแต่หนูจะเล่าให้ฟังอีกครั้งนะค่ะ

เรื่องมีอยู่ว่า มีชายคนหนึ่งเขาคอยช่วยเหลือลูกสาวเขาตลอด ช่วยทำการบ้าน รายงาน สอนการบ้าน และแก้ปัญหาต่างๆให้ลูกขนาดลูกสาวเขาไปเรียนอยู่เมืองนอกแล้วเขาก็ยังคงช่วยลูสาวเขาทำงานลูกสาวของเขามักโทรทางไกลมาขอความช่วยเหลือจากพ่อในเวลางานพ่อเสมอ จนวันหนึ่งหัวหน้างานของเขาเล่าเรื่อง คนหวังดีที่อยากจะช่วยผีเสื้อให้ออกจากรังไหมมาเร็วๆโดยการตัดรังไหมออกกลับกลายเป็นว่าการกระทำของเขาทำให้เจ้าผีเสื้อพิการเพราะเขาได้ทำให้กระบวนการทางธรรมชาติของเจ้าผีเสื่อผิดปกติ หัวหน้างานของเค้าพูดต่อว่า อุปสรรคในชีวิตของคนก็เหมือนสิ่งที่เจ้าผีเสื้อต้องเผชิญไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ ความก้าวหน้าในชีวิต ความกล้าหาญ เราจะคาดหวังจะประสบความสำเร็จในชีวิตโดยไม่มีความล้มเหลวเป็นไปไม่ได้ แล้วเราหลีกเลี่ยงที่จะแก้ไขหรือต่อสู้กับมันเท่ากับเรากำลังพลาดโอกาสในการเรียนรู้บทเรียนที่จำเป็นต่อความสำเร็จในชีวิตคน ถ้าไม่เจ็บก็ไม่ได้เรียนรู้






หลังจากได้อ่านบทความนี้แล้วทำให้หนูคิดได้ว่า คนเราทุกคนไม่มีใครที่ Perfect คนเราทุกคนต้องเจอกับอุปสรรคและปัญหาต่างๆในชีวิต ต้องเคยผิดพลาดและล้มเหลว แต่เมื่อเราล้มเหลวหรือผิดพลาดไปแล้วเราต้องเกิดการเรียนรู้และแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยตัวเองให้ได้เพราะการเรียนรู้นี้มันจะทำให้เราแข่งแกร่งขึ้นและเป็นหนทางสู่ความสำเร็จในชีวิต ถ้าเราไม่เรียนรู้ที่จะแก้ไขมันด้วยตนเองรอให้พ่อแม่ช่วยเหลือให้ตลอดแล้ววันนึงที่พวกท่านไม่อยู่แล้วเราจะทำอย่างไร





 นอกจากนั้นบทความนี้ยังทำให้หนูเข้าใจพ่อแม่ของหนูและคุณครูที่สอนหนูมากขึ้นเวลาที่พวกท่านให้หนูแก้ปัญหาด้วยตัวของหนูเองที่ท่านไม่ช่วยไม่ได้หมายความว่าท่านไม่รักเราแต่พวกเขากำลังมอบบทเรียนชีวิตที่ทำให้เราแข่งแกร่งขึ้นและทำให้เรารู้จักคิดที่จะแก้ไขปัญหา ในบางครั้งถ้าเราแก้ไขด้วยตัวเองไม่ได้จริงๆพวกเขาก็พร้อมที่จะช่วยเราเสมอตลอดเวลา




Saturday 14 September 2013



      สวัสดีค่ะกลับมาพบกันอีกแล้วนะคะหลังจากหายหน้าไปเกือบ4เดือน มาครั้งนี้หนูก็จะมาเล่าประสบการณ์ของหนูที่หายไปสี่เดือนให้เพื่อนๆพี่ๆน้องๆฟังกัน

4 เดือนที่หนูหายไปทำให้หนูได้เรียนรู้อะไรบ้างมาดูกันดีกว่าค่ะ

ด้านวิชาการ
- วิชาคณิตศาสตร์
บทเรียนในวิชาคณิตศาสตร์แต่ละบทเราจะต้องเข้าใจconcept ของมันให้ได้จริงๆก่อนถ้าหากconceptพื้นฐานเราแม่นยำแล้ว การที่เราจะทำโจทย์ประยุกต์ต่างๆที่ยากขึ้นไปเราก็จะสามารถแก้โจทย์ได้ง่ายมากกว่าเดิม 
-การเรียนภาษาไทย
หนูเรียนเรื่องวรรรณคดี หนูพบว่าการแต่งวรรณคดีแต่ละเรื่องนั้นเรื่องราวส่วนใหญ่จะสัมพันธ์กับผู้แต่งเช่น ผู้แต่เล่าเรื่องชีวิตของตนเองผ่านวรรณคดี เป็นต้น และเรื่องราวในวรรณคดีแต่ละเรื่องยังสะท้อนสภาพสังคม วิถีชีวิต และบทบาทของคนในแต่ละยุคสมัยได้อย่างชัดเจน การถอดความหมายของคำประพันธ์ต่างๆหากเรารู้ความหมายของคำที่ใช้เราก็จะสามารถถอดคำประพันธ์ได้ง่ายขึ้น
- วิชาศิลปะ
ต้องใช้ความละเอียด ความอดทนและความคิดสร้างสรรค์ในการทำงานมากโดยเฉพาะความละเอียด


  การอ่าน
เป็นเรื่องที่สำคัญมากเพราะฉะนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดของการอ่านคือการหา keyword ให้เจอจับประเด็นหลักของเรื่องให้ได้ว่าเขาต้องจะสื่อสารอะไรกับเราและอ่านแล้วต้องคิดตามอย่าอ่านแค่ผ่านตาเพราะหากทำแบบนั้นเราจะไม่ได้ประโยชน์จาการอ่านเลยและเราก็จะไม่เข้าใจเรื่องที่เราอ่านอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้เราอ่านหนังสือหรือบทความต่างได้เข้าใจมากขึ้นคือการตั้งคำถามก่อนอ่าน 



ขอบคุณภาพจาก www.kroobannok.com 


การทำMind-map”
ไม่ใช่การจับข้อความยาวๆใส่อัดๆกันเข้าไปแต่การที่เราจะทำMind-map เราต้องมีเป้าหมายก่อนว่าเราจะทำMind-map นี้เพื่ออะไร เพื่อสรุป เพื่อวิเคราะห์ หรือเพื่อนบันทึกเรื่อง และจากนั้นเราจะแยกประเด็นและใช้ keywordเข้ามาช่วยในการเชื่อมโยง

ขอบคุณภาพจากmarksalata.blogspot.com 


"การได้ทำงานในชีวิตจริง"
 การทำทัวร์ (ได้รับโจทย์จากคุณครูให้จัดทัวร์ให้พ่อแม่ของพวกเรา)อย่างแรกที่สำคัญมากๆเลยคือ
1.การตั้งเป้าหมายว่าเราจะไปเพื่อเรียนรู้เรื่องอะไร แล้วกลุ่มเป้าหมายของคนที่เราจะพาไปคือใคร เด็กเล็ก เด็กโต หรือ ผู้ใหญ่ 2.ลักษณะโดยรวมทั่วไปของลูกทัวร์ของเราเป็นอย่างไรมีใครมีความผิดปกติทางร่างกายหรือไม่ 
3.ไปที่ไหนการเลือกสถานที่สำคัญมากเพราะนอกจากจะดูเรื่องความรู้ที่เราจะได้มาแล้วยังต้องดูด้วยว่าเส้นทางการเดินทางนั้นเดินทางอย่างไรเหมาะสมกับกิจกรรมและสถานที่อื่นที่เราเตรียมไว้หรือไม่ 
4.เส้นทางในการเดินทางจะต้องแม่นยำเพราะถ้าไม่แม่นยำเราจะไม่สามารถคำนวนเวลาในการเดินทางและค่าใช้จ่ายได้ 
5.ค่าใช้จ่ายต้องคำนวนอย่างละเอียดมากๆไม่ว่าจะเสียมากเสียน้อยก็ต้องจดใส่บัญชี
6.การติดต่อประสานต้องแม่นยำไม่ว่าจะติดต่อประสานงานกับสถานที่ที่เราจะไปหรือติดต่อกับพี่คนขับและลูกทัวร์ของเราเอง
7.ข้อมูลสถานที่ต่างๆที่เราจะไปต้องแน่นเราจะต้องมีความรู้ส่วนหนึ่งในสถานที่นั้นๆเพื่อที่จะได้อธิบายเกี่ยวกับสถานที่ที่เราจะไปให้ลูกทัวร์ได้ 
8.การตัดสินใจและการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าหากเกิดปัญหาอะไรขึ้นเราจะต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและตัดสินใจได้ในทันที
ขอบคุณภาพจาก en.wikipedia.org 

 ความละเอียดและการสังเกต
เป็นสิ่งสำคัญมากสังเกตได้เลยว่าคนส่วนใหญ่ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตพวกเขาล้วนแต่ใช้ทักษะทั้งสองอย่างนี้ทั้งนั้นเพราะฉะนั้นหากเรามีทักษะทั้งสองอย่างนี้มากกว่าคนอื่นเราจะได้เปรียบในการใช้ชีวิตและไปได้ไกลกว่าคนอื่น ยกตัวอย่างเช่นการที่หนูทำทัวร์หนูก็ต้องใช้ความละเอียดและการสังเกตเป็นหลักในการทำงานตลอดเวลาเห็นได้จากที่หนูเล่าประสบการณ์ทำงานในชีวิตจริงของหนู
ขอบคุณภาพจาก www.therenegadeblog.com 

“4เดือนแห่งการเปลี่ยนแปลงนอกจากหนูจะได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆมากกว่าเดิมแล้วสิ่งสำคัญที่เกิดขึ้นกับหนูคือความเปลี่ยนแปลงในตัวหนูเอง หนูสังเกตและให้ความสำคัญกับความละเอียดมากกว่าเดิม การตอบคำถามของหนูใช้ความคิดมากกว่าเดิมและจะไม่ตอบคำตอบที่ตอบอย่างไรก็ถูกหนูมีเหตุผลมากกว่าเดิมเวลาหนูอ่านหนังสือเรียนหรืออ่านบทความต่างหนูเริ่มจับประเด็นและหา keywordของมันมากขึ้นเพราะการหาkeywordจะช่วยหนูในการทำความเข้าใจและการเขียนMind-map และหนูเริ่มที่วางแผนชีวิตของตนเองคิดถึงอนาคตที่จะเปิดเสรีอาร์เซียนต้องออกไปแข่งขันกับผู้คนมากมายเราจะทำอย่างไรเพื่อให้เราอยู่รอดและประสบความสำเร็จท่ามกลางคนชาติอื่นที่อยู่รอบตัวเรา

ปล.นับจากนี้ไปเราคงเจอกันบ่อยขึ้นนะค่ะ :)